หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
BLS
บล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
 
ภาพตลาดและแนวโน้ม
เปิดยื้อแล้วลงต่อ
          วันนี้ คาดดัชนีฯ เปิดยื้อแล้วลงต่อ ความเสี่ยง "สงครามการค้า" เริ่มมีผลต่อเศรษฐกิจโลก ล่าสุด MS เตือน GDP โลกจะกระทบราว 0.2% จากมาตรการภาษี สหรัฐฯ-จีน ซึ่งนับเฉพาะแค่รอบแรก และมองว่าขั้นตอนเจรจาจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ เร็วสุดมองเริ่มไกล่เกลี่ยอีก 2 เดือนข้างหน้า ยิ่งถ้าหลังวันที่ 6 ก.ค.ไปแล้ว มีการออกมาตรการตอบโต้การค้าเพิ่มเติม ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก จะรุนแรงขึ้น และ ยังไม่สามารถประเมินความเสี่ยงต่อการถดถอยของเศรษฐกิจได้        
          สัปดาห์นี้ดัชนีฯยังดูอึมครึมต่อ กับแรงขายของ นลท.ต่างชาติ ที่ไม่ลดลงอย่างที่คิด...คาดกรณีหุ้นไทยลงต่อหลุด 1,700 จุด แนวรับสำคัญทางเทคนิคถัดไป 1,680-1,640 จุด (กรณีที่เริ่มยืนได้เหนือ 1,700 คาดแนวต้าน 1,720-1,730...เริ่มหมดหวัง)      
          หุ้นใหญ่ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก คาด Underperform เทียบกับ หุ้นกลาง-เล็กที่มี ปัจจัยหนุนเป็นรายตัวไป กลยุทธ์แนะกระชับพอร์ตหุ้นใหญ่เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก หันมาเล่นรอบหุ้นกลางเล็กในประเทศ แทน
What to watch :
(-) MS คาดผลกระทบจากการตอบโต้การค้า สหรัฐฯ จีน รอบล่าสุด ต่อ GDP โลก ราว 0.2% (US$1.8 แสนล้าน) ส่วนการเจรจาคาดไม่เกิดเร็วๆนี้ โดยมองว่าพัฒนาการเร็วสุด ที่จะไกล่เกลี่ยกันได้น่าจะเริ่มในอีก 2 เดือน ข้างหน้า (ดูรายละเอียดด้านในฉบับ)
(-) ปธน.ทรัมป ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ ในอัตรา 10% วงเงิน US$2 แสนล้าน หากจีนมีการตอบโต้กลับอีกครั้ง  
(-) ประชุม OPEC 22-23 มิ.ย. คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิต เนื่องจากตอนนี้กำลังการผลิตของ OPEC และรัสเซีย ลดลงมาจนแตะต่ำกว่าระดับข้อตกลงที่ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
(+) รองนายก วิษณุ เผยนายกฯ นำร่างกม.ลูกส.ส.-ส.ว.ขึ้นทูลเกล้าฯแล้ว ตั้งแต่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา
(+/-) MS เชื่อว่าจากนี้ไป USD Index จะกลับมาสู่โหมด Bulls run ไปถึง ฤดูร้อน (ก.ค.-ก.ย.)
หุ้นแนะนำวันนี้ 
          พักเงินไว้ในกอง IFF อย่าง DIF JASIF
รายงานวันนี้    
STEC : Never been better
          เรามีความมั่นใจในคำแนะนำซื้อ STEC เพราะ 1) Backlog สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25 แสนล้านบาท และรายได้คาดจะโตก้าวกระโดดตามการรับรู้รายได้ S-curve 2) การประมูลงานภาครัฐ ใหม้เข้ามา โดยลานงานจะมีการขายซองประมูลในเดือนนี้ เช่น รถไฟฟาเชื่อม 3 สนามบิน และทางด่วนพระราม3 เป็นต้น 3) โครงการภาคเอกชน ขนาดใหญ่กำลังจะเริ่มก่อสร้าง เช่น One Bangkok และ CPN Dusit เป็นต้น  4) อัตรากำไรขั้นต้น คาดกลับสู่ขาขึ้น อีกครั้ง หลังจากงานรัฐสภา และ สนามบินภูเก็ต เริ่มควบคุมได้อีกครั้ง เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 28 บาท อิง PBv 1SD เหนือค่าเฉลี่ยในอดีต
ANAN : Ashton Asoke returns
          การโอนโครงการ Ashton Asoke ได้เริ่มตั้งแต่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่าที่ทางบริษัทคาดไว้ก่อนหน้าที่ 4Q18 เรามีการเพิ่มมูลค่าของโครงการนี้กลับเข้าไปในประมาณการ และปรับประมาณการกำไรปี 2018 ขึ้น 25% และปี 2019 ขึ้น 6% (โอน 70% ใน 2018 และ 30% ใน 2019) จากประเด็นดังกล่าวยังทำให้ Net gearing ปรับลดลงจาก 0.9 เท่า เป็น 0.8 เท่า ซึ่งจะหนุนให้สามารถเปิดโครงการใหม่ในอนาคตได้อีก โดยรวมเรามองกำไรปีนี้เติบโตโดดเด่นที่ 44% เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 4.60 เป็น 5.80 และยังคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
Quick Take
BCPG : The acquisition of ordinary share in Lomligor Co., Ltd.
          เช้าวานนี้ BCPG ประกาศว่าบริษัทจะซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาด 10 เมกะวัตต์ ในจ.นครศรีธรรมราช โดยมีแผนจะ COD ระหว่าง 4Q18-2Q19 เราคาดการลงทุนในครั้งนี้ที่ 825 ล้านบาท (หรือ 82.5 ล้านบาท/เมกะวัตต์) โดยดีลนี้จะทำให้กำลังการผลิตของ BCPG เพิ่มขึ้น 2% โดยเราประเมินว่าบริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน หากโครงการนี้เริ่ม COD ใน 1Q19 เราคาดจะหนุนให้กำไรหลักปี 2019 เพิ่มขึ้นราว 49 ล้านบาท (สูงขึ้นประมาณ 2.6% จากประมาณการปัจจุบันของเรา) อีกทั้งจะทำให้ราคาเป้าหมายขยับขึ้น 0.2 บาท/หุ้น เรามองว่าดีลนี้เป็นบวกต่อบริษัท แต่เนื่องจากเป็นดีลขนาดเล็กที่ทำให้ราคาเป้าหมายของเราสูงขึ้นไม่มาก เราจึงคงคำแนะนำ "ถือ"
Flow Tracker : ต่างชาติขายหุ้นไทยแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา
          นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 760 ล้านเหรียญสหรัฐฯในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่ง เรามองว่าผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวน่าจะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์นี้อย่างต่อเนื่อง ดัชนี Volume Flow ของหุ้นกลุ่มต่างๆ ชี้ถึงแรงขายในกลุ่มปิโตรเคมีและค้าปลีก ในขณะที่กลุ่มธนาคารและอสังหาฯยังคงแข็งแกร่งกว่าตลาด  
หุ้นมีข่าว/ประเด็น
(+) BTS, เครือซีพี, บ.ลูก PTT, UNIQ, ITD เข้าซื้อซองประมูลไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินวันแรก (ที่มา อินโฟเควสท์)
(*) SCB  วิชิต ลาไทยพาณิชย์ ไขก๊อกพ้นเก้าอี้ซีอีโอ ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับโครงสร้างบริหารงานใหม่ ตั้ง พล.อ.อ. สถิตย์พงษ์ สุขวิมล และ พ.ต.อ.ธรรมนิธิ วนิชย์ถนอม เป็นกรรมการ (ที่มา โพสต์ทูเดย์)
(-) GPSC GLOW : จับตา GPSCเพิ่มทุน กู้แสนล้านหนี้สินเต็มเพดาน 2.4เท่า บอร์ด PTTลดงบลงทุนปีนี้ นาย สุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอแผนการเข้าลงทุนในบริษัท โกลว์พลังงาน (GLOW) เข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสัดส่วนในการเข้าลงทุน และหาข้อสรุปรายละเอียดต่างๆ ภายหลังจากคณะกรรมการบริษัท ปตท. (PTT) ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้อนุมัติเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของ GLOW (ที่มา โพสต์ทูเดย์)  
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
Trade Tensions : Stakes Have Risen
          จากการประกาศเก็บภาษีสินค้าจีน 1100 รายการ โดยสินค้าล็อคแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า US$3.4 หมื่นล้าน จะโดนเรียกเก็บก่อนในวันที่ 6 กค.นี้ ส่วนทางการจีน จะเรียกเก็บภาษีสินค้า 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า US$ 3.4 หมื่นล้าน เริ่ม 6 ก.ค.นี้ เช่นกัน ส่วนล็อตต่อไปจะมีการประกาศอีกครั้ง
          MS มองผลกระทบในระดับ Direct impact ต่อ Global trade ราว US$ 1.81 แสนล้าน หรือประมาณ 1% ของ Global trade และ กระทบ GDP โลกราว 0.2%
          ผลกระทบต่อ GDP สหรัฐฯปี 2018-18 ราว 0.1ppt. และถ้าเก็บภาษีจีนขึ้นไปถึงระดับ US$1 แสนล้าน จะกระทบ GDP จีนราว 0.4 ppt. จากส่งออกจีนที่ลดลงไป 2.4ppt. 
แต่ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจจะยังลุกลามกระทบต่อเศรษฐกิจได้อีก จาก Indirect impact...   
          1) ประเทศคู่ค้าที่ผลิตชิ้นส่วนและสินค้า จะสูญเสียรายได้ ตามความต้องการสินค้าที่ลดลง เช่นกรณี รถยนต์จากสหรัฐฯส่วนใหญ่ประกอบในเม็กซิโก ถ้าจีนจำกัดการนำเข้าจะกระทบเศรษฐกิจเม็กซิโกไปด้วย
          2) กระทบต่อบริษัทฯร่วม จากการศึกษาพบ 60% ของสินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ผลิตจากบริษัทฯร่วมที่จีนผลิตจากประเทศในแถบเอเชีย เข่น เกาหลีใต้ ญี่ปุน
          3) ชิ้นส่วน High value added ที่ผลิตจากผู้ผลิตในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น Telecom ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ มีการส่งออกไปประกอบในจีนก่อนส่งขายสหรัฐฯ
          4) ผู้ประกอบการในสหรัฐฯเอง จะได้รับผลกระทบจากสินค้าทุน และสินค้าอุสาหกรรม ที่ส่วนใหญ่นำเข้าจากจีน จะโดนภาษีทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 
ส่วนแนวทางที่ MS คาดว่าจะเกิดขึ้นจากนี้ไป คือ
          1) เกิดการเจรจาตกลงกันได้ก่อนวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งพัฒนาการที่มีมาถึงตรงนี้บอกได้เลยว่ามีโอกาสเกิดต่ำมาก
          2) จีน-สหรัฐฯ สงวนท่าทีไม่ออกมาตรการตอบโต้เพิ่มเติม แล้วใช้เวลา เจรจาไกล่เกลี่ย ในอีก 2 เดือนข้างหน้า และได้ข้อตกลงที่ยอมรับได้จากทั้ง 2 ฝาย (MS มองมีความเป็นได้มากที่สุด แต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย)
          3) มีการประกาศมาตรการภาษีตอบโต้กันเพิ่มเติมหลังวันที่ 6 ก.ค. รวมถึงชาติอื่นๆตอบโตสหรัฐฯด้วย คาดว่าจะกระทบต่อ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การลงทุน และการเจรจาถึงจะตกลงกันได้แต่ก็สายเกินจะแก้ไข
         
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
ธนัท พจน์เกษมสิน,นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน  
OO10229

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!