หมวดหมู่: อุตสาหกรรม

4170 คมนาคม 7สมาคมเหล็ก


คมนาคม - 7 สมาคมเหล็กจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ
ดันใช้สินค้าเหล็กในประเทศสนองนโยบาย Thai First

          ตามที่กลุ่ม 7 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยซึ่งเป็นตัวแทนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กกว่า 470 บริษัท เดินทางเข้าพบนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 เพื่อสนับสนุนนโยบาย “Thai First ไทยทำ ไทยใช้ คนไทยต้องได้ก่อน” และสนับสนุนการผลักดันให้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้มอบหมายให้นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมร่วมกับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Workshop) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของกระทรวงคมนาคม

          กระทรวงคมนาคมโดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จึงได้ร่วมกับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ จัดกิจกรรม workshop เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2563 โดยมีนายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานในการจัดงาน ซึ่งมีหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางบก กรมการขนส่งทางราง กรมเจ้าท่า กรมทางหลวง กรมท่าอากาศยาน การท่าเรือแห่งประเทศไทย การท่าเรือแห่งประเทศไทย และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เช่น กรมบัญชีกลาง สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ กรมทางหลวงชนบท และ บมจ. ท่าอากาศยานไทย
          โดยภายในงาน นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย รายงานภาพรวมของสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กโลก และของไทย โดยปี 2562 ประเทศไทยมีการใช้สินค้าเหล็ก 18.47 ล้านตัน และส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 58 ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่จะพบว่าสินค้าส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 12 ล้านตัน คิดเป็นกว่าร้อยละ 66 ของการใช้ในประเทศ และคิดเป็นมูลค่ากว่า 3.2 แสนล้านบาท ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศมีการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำมากเพียงร้อยละ 32 เท่านั้น ในขณะที่หลายประเทศใช้กำลังการผลิตสูงกว่าร้อยละ 50 ทั้งสิ้น เช่น เวียดนามใช้กำลังการผลิตที่ร้อยละ 69 ออสเตรเลียร้อยละ 58 เกาหลีใต้ร้อยละ 53 และไต้หวันร้อยละ 75 ดังนั้นการสนับสนุนการใช้สินค้าในประเทศจึงเป็นกลไกที่สำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิดการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้น และพัฒนาอุตสาหกรรรมเหล็กซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไป

          ด้าน รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ทำการศึกษาผลกระทบจากการใช้สินค้าในประเทศโดยการใช้เครื่องมือตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต หรือ Input-Output Table (I-O Table) ซึ่งเป็นตารางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการผลิตและการใช้ผลผลิต ทั้งที่ใช้ไปในขั้นสุดท้าย และที่ใช้ไปเพื่อการอุปโภคขั้นกลาง สำหรับข้อมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม 44 โครงการ โดยได้มีการประเมินจากผู้ผลิตสินค้าเหล็กในประเทศว่าสามารถใช้สินค้าเหล็กในประเทศได้เป็นมูลค่าถึงประมาณ 110,000 ล้านบาท และจากมูลค่าดังกล่าวเมื่อนำไปวิเคราะห์โดย I-O table พบว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานทั้งทางตรง และทางอ้อมกว่า 139,000 คน และช่วยให้ GDP ของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 แต่ทั้งนี้การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นการวิเคราะห์ในเบื้องต้น อาจจะต้องมีการปรับข้อมูลในการวิเคราะห์ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการใช้สินค้าในประเทศช่วยส่งเสริมการจ้างงาน และ GDP ของประเทศอย่างแน่นอน

          นายวิน วิริยประไพกิจ ผู้แทนกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ กล่าวขอบคุณประธาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เข้าร่วมงาน พร้อมทั้งชี้แจงว่าอุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่ทางภาครัฐได้มีการส่งเสริมการลงทุนแต่ยังขาดนโยบายอื่นๆ เช่น ทางด้านต้นทุน ด้านการตลาด ด้านพลังงานและด้านเทคโนโลยี เนื่องจากยังไม่มีหน่วยงานของภาครัฐที่ดูแลกำกับโดยตรง อีกทั้งได้กล่าวถึงปัญหาวิกฤติอุตสาหกรรมเหล็กโดยปัญหาเกิดขึ้นจากการที่ประเทศจีนมีการผลิตสินค้าที่มากเกินความจำเป็นของโลก และมีการดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมทั้งเรื่องการอุดหนุน และทุ่มตลาด ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้มีการกำหนดมาตรการคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ โดยเฉพาะ สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่ไม่สามารถไปยังประเทศที่กำหนดมาตรการที่แข็งแรงได้ก็มีโอกาสเข้ามายังประเทศไทยได้ซึ่งแสดงให้เห็นจากตัวเลขของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ในขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศลดลงร้อยละ 4 ซึ่งส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2562 เหลือเพียงร้อยละ 32 เท่านั้น

          “ในช่วงเดือน พฤศจิกายน ปี 2558 ได้รายงานปัญหา และนำเสนอแนวทางแก้ไขต่อ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และ กระทรวงการคลังร่วมกับกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีเสมอมา และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นกัน”

          ผู้แทนสมาคมที่เป็นสมาชิกกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ กล่าวอีกว่าได้นำเสนอข้อมูลถึงความสามารถในการผลิตสินค้าเหล็กที่สามารถผลิต และจำหน่ายได้ โดยสินค้าเหล็กส่วนใหญ่ที่ใช้ในโครงการก่อสร้างภาครัฐผู้ประกอบการสามารถผลิตได้ทั้งสิ้น ยกเว้นสินค้าบางรายการ เช่น รางรถไฟ อีกทั้งได้นำเสนอแนวทางการกำหนด

          นายนาวา จันทนสุรคน นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย และผู้ประสานงานกลุ่ม 7 สมาคมเหล็กฯ รายงานถึงตัวอย่างการกำหนดนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศของสหรัฐอเมริกา และอินเดีย โดยทั้ง 2 ประเทศกำหนดนโยบาย Buy American และ Make in India ตามลำดับ โดยสาระสำคัญคือ Buy America มีการกำหนด Local content โครงการภาครัฐสำหรับสินค้าเหล็กที่ร้อยละ 95 ส่วน Make in India มีการกำหนด Local content โครงการภาครัฐในภาพรวมที่ร้อยละ 50 โดยต้องมี Certificate รับรองด้วย และสำหรับการใช้สินค้าเหล็กต้องมีมูลค่าเพิ่มในประเทศร้อยละ 20
          พร้อมกันนี้นายกสมาคมเหล็กแผ่นรีดร้อนไทย ได้นำเสนอนโยบายสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศโดยขอให้ (1) ขอความอนุเคราะห์ให้ยึดถือปฏิบัติตาม มติ ค.ร.ม. เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 เรื่องหลักเกณฑ์การใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศ อย่างเคร่งครัด และขอให้พิจารณากำหนด Local content การใช้สินค้าเหล็กในประเทศสำหรับโครงการภาครัฐที่ร้อยละ 90 (2) ขอความอนุเคราะห์นำแนวปฏิบัติการให้แต้มต่อด้านราคากับพัสดุที่ผลิตในประเทศและเป็นกิจการของคนไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กลับมาพิจารณาบังคับใช้อีกครั้ง โดยขอให้ครอบคลุมเรื่องงานก่อสร้างด้วย

          “การกำหนด Local content ของประเทศไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดต่อความตกลง WTO เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีในความตกลง Government Procurement Agreement (GPA) ประเทศไทยเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น” นายนาวากล่าว

          นายชาตรี บุญญารัตนากุล ผู้แทนจากสมาคมเหล็กแผ่นรีดเย็นไทย ชี้แจงเพิ่มเติมต่อความกังวลกรณีการเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกเขตการค้าเสรี CPTPP ว่าในการเจรจาสามารถกำหนดข้อยกเว้นสำหรับเรื่อง GPA ได้ จากตัวอย่างประเทศเวียดนามที่มีการลงนามเข้าร่วมแล้วและมีการระบุยกเว้นไม่ครอบคลุมเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐของกระทรวงคมนาคม ดังนั้นสำหรับประเทศไทยหากเข้าร่วม CPTPP ก็ควรกำหนดการยกเว้นเช่นเดียวกัน อีกทั้งระยะเวลาการเปิดเสรีก็ใช้เวลานานถึง 25 ปี ดังนั้นในระหว่างนี้จึงควรมีการกำหนดนโยบายเพื่อสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ

          ทางด้านผู้แทนจากกรมบัญชีกลางได้ชี้แจงว่ากำลังศึกษา และทบทวนการจัดทำกฎระเบียบ และแนวทางปฏิบัติให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และไม่ให้ขัดต่อ WTO เพื่อนำเสนอ ค.ร.ม. ทั้งนี้ทาง สนข. จะจัดทำสรุปข้อมูลจากการหารือใน Workshop และนำเสนอผู้บริหารกระทรวงคมนาคมพิจารณา รวมถึงประสานอย่างเป็นทางการไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับจัดทำ มติ ค.ร.ม. ใหม่ให้มีความชัดเจน และมีประสิทธิภาพในการนำไปปฏิบัติมากยิ่งขึ้น

 


AO4170

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!