หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

FITCH12 28


ฟิทช์ ปรับแนวโน้มเครดิต บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย เป็นมีเสถียรภาพ คงอันดับเครดิตที่ ‘A+(tha)’

       ฟิทช์ เรทติ้งส์ – กรุงเทพฯ – 11 มกราคม 2564: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ  SCC เป็นมีเสถียรภาพ จากเป็นลบ  ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัทฯ ที่ ‘A+(tha)’ อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ ‘F1(tha)’

       แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพสะท้อนถึงการคาดการณ์ของฟิทช์ว่า SCC จะยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ไว้ได้ที่ระดับต่ำกว่า 3.5 เท่า ได้ในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า จากการที่บริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่สูงกว่าที่คาด และมีเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของบริษัทย่อยในปี 2563    

       ฟิทช์ คาดว่า SCC จะมีอัตราส่วนหนี้สินอยู่ที่ระดับประมาณ 2.5 เท่า ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งน่าจะช่วยให้ SCC มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในบริหารแผนการใช้เงินเพื่อการลงทุนในอนาคตโดยที่ยังสามารถรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินให้สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบัน ได้

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

        ความสามารถในการรองรับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุน – กระแสเงินสดที่แข็งแกร่งขึ้นจากธุรกิจเคมิคอลส์และเงินเพิ่มทุนจาก IPOของบริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด  (มหาชน) หรือ SCGP จำนวน 4 หมื่นล้านบาท ช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินของ SCC ลดลงซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับหนี้สินที่เพิ่มขึ้นโดยไม่กระทบต่ออันดับเครดิตปัจจุบันของบริษัทฯ โดยฟิทช์คาดว่า SCC น่าจะสามารถใช้จ่ายตามแผนการลงทุนจำนวนประมาณ  6 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแผนการลงทุนที่มีภาระผูกพัน (Committed Capex) เป็นหลัก ในปี 2564-2565 โดยที่จะยังสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สิน ให้อยู่ที่ระดับประมาณ 3.5 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่ยังสอดคล้องกับอันดับเครดิต ‘A+(tha)’ ของบริษัทฯ โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนสำหรับโครงการปิโตรเคมีที่เวียดนาม (Long Son  Petrochemicals: LSP)  ซึ่งจะเริ่มสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในปี 2566

        ฟิทช์ เห็นว่า อัตราส่วนหนี้สินของ SCC  มีความเสี่ยงอยู่ในระดับปานกลางที่อาจจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 3.5 เท่า ในช่วงสองปีข้างหน้า เนื่องจากโอกาสในการใช้จ่ายลงทุนเพื่อเข้าซื้อกิจการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะเพื่อการขยายธุรกิจแพคเกจจิ้ง ด้วยเงินที่ได้รับจากการ IPO  อย่างไรก็ตาม  การลงทุนดังกล่าวส่วนใหญ่น่าจะเป็นการลงทุนในธุรกิจที่มีการดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน ซึ่งจะสามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นได้ทันทีให้แก่ SCC  ทำให้ความเสี่ยงดังกล่าวน่าจะได้รับการบรรเทาลงในระดับหนึ่ง

        การเติบโตที่แข็งแกร่งของกำไรจากการดำเนินงาน – ฟิทช์ คาดว่า SCC จะสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ได้อย่างแข็งแกร่งในระดับประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2563-2565  EBITDA ของบริษัทฯ เติบโตเกือบร้อยละ 10 ในงวดเก้าเดือนแรกของปี 2563 ถึงแม้ว่ารายได้จะลดลงประมาณร้อยละ 9 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (spreads) ในธุรกิจเคมิคอลส์ ซึ่งเป็นผลมาจากอุปทานสินค้าในภูมิภาคเอเชียที่ลดลงในขณะที่อุปสงค์ยังคงแข็งแกร่งโดยเฉพาะอุปสงค์จากประเทศจีน รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (high-value-added หรือ HVA) และการลดต้นทุนของบริษัทฯ 

        Spreads ในธุรกิจเคมิคอลส์แนวโน้มลดลง – ฟิทช์ได้ประมาณการว่า spreads ในธุรกิจเคมิคอลส์ จะลดลงในปี 2564 จากอุปทานในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น แต่ก็น่าจะชดเชยได้กับการเติบโตของ EBITDA ของธุรกิจแพคเกจจิ้งซึ่งมีการขยายกำลังการผลิตและมีกำไรส่วนเพิ่มจากกิจการที่เข้าซื้อมาใหม่

          การกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น – การกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ SCC มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อโครงการ LSP ในเวียดนามเริ่มดำเนินการผลิตในปี 2566  โครงการดังกล่าวเป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรขนาดใหญ่แห่งแรกในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะรองรับการเติบโตของความต้องการโพลิเมอร์ภายในประเทศที่แข็งแรง ซึ่งในปัจจุบันยังคงพึ่งพาจากการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

        การกระจายความเสี่ยงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เช่น ความผันผวนของ spreads ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และการพึ่งพิงอุตสาหกรรมการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศของธุรกิจปูนซีเมนต์ การกระจายความเสี่ยงได้ช่วยให้กระแสเงินสดของ SCC มีความสม่ำเสมอในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา เนื่องจาก SCC สามารถที่จะปรับเพิ่มสัดส่วนการขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสินค้าบรรจุภัณฑ์ไปในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการซื้อต่อเนื่อง เช่น กลุ่มสินค้าทางการแพทย์และสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งช่วยลดทอนผลกระทบจากความต้องการซื้อที่ลดลงในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ  การกระจายความเสี่ยงยังลดผลกระทบจากการหยุดชะงักของการผลิตในหลายประเทศอีกด้วย  นอกจากนี้ SCC ยังได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงด้านวัตถุดิบที่จะเพิ่มขึ้นจากโครงการ LSP ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบได้ทั้งก๊าซและแนฟทา

       สถานะความเป็นผู้นำตลาด – SCC มีสถานะเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดย SCC มีกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในหลายประเทศในอาเซียน สำหรับกลุ่มสินค้าปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย (โพลีโอเลฟินส์และพีวีซี) และกระดาษบรรจุภัณฑ์ ฟิทช์คาดว่าสัดส่วนรายได้จากฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและการส่งออกไปยังภูมิภาคดังกล่าว จะเพิ่มขึ้นในช่วงสามถึงห้าปีข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อโครงการ LSP เริ่มเปิดดำเนินการ นอกจากนี้ SCC ยังมีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลกนอกเหนือจากประเทศในกลุ่มอาเซียนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 17 ของรายได้รวมในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2563

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

         SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, ‘A(tha)’/แนวโน้มเครดิตเป็นลบ) ซึ่งอยู่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดย SCC มีส่วนแบ่งทางการตลาดของปูนซีเมนต์ในประเทศที่สูงกว่า รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และการกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากหลากหลายธุรกิจกว่า อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทางสถานะทางธุรกิจที่สูงกว่า ได้ถูกลดทอนจากอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ที่สูงกว่า SCCC  ทำให้ SCC มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCCC เพียงหนึ่งอันดับ แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบของ SCCC สะท้อนความเสี่ยงจากอัตราส่วนหนี้สินที่อยู่ในระดับสูง อันเป็นผลจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่อ่อนแอลงและแผนการลงทุนขนาดใหญ่

        เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิต ‘AA+(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, อันดับเครดิตโดยลำพัง ‘aa-(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   SCC มีขนาดของธุรกิจเคมิคอลส์ที่เล็กกว่า PTTGC  แต่ SCC มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจอื่นที่หลากหลายกว่า ซึ่งทำให้ SCC มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของธุรกิจเคมิคอลส์น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม PTTGC มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า จึงมีอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCC หนึ่งอันดับ

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

-              รายได้รวมลดลงในอัตราร้อยละ 10 ในปี 2563 เป็นผลมาจากการลดลงของความต้องการซื้อปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการลดลงของราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รายได้ฟื้นตัวในอัตราร้อยละ 5-10 ต่อปี ในปี 2564-2565 โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อสินค้าในหลายๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ การฟื้นตัวของราคาสินค้า และการขยายกำลังการผลิตของธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง

-              EBITDA Margin เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 15-16 ในปี 2563 (เก้าเดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 15.5 และปี 2562 อยู่ที่ร้อยละ 12.5) EBITDA Margin ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 13-14 ในปี 2564-2565 เนื่องจาก spreads ในธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง

-              ค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุน (Committed Capex เป็นหลัก) ประมาณ 1.8 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2563-2565

-              อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50 ในปี 2563-2565

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: 

-              ฟิทช์ไม่คาดว่าจะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิต เว้นแต่จะมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายธุรกิจเคมิคอลส์ในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบของโครงการ LSP ในประเทศเวียดนาม

ปัจจัยลบ:

-              FFO net leverage อยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่อง

       สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดี: SCC มีหนี้สินที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้านับถึงสิ้นเดือนกันยายน 2564 จำนวน 1.0 แสนล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ  3.7 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ  5.0 หมื่นล้านบาท สภาพคล่องของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขโดยฟิทช์) จำนวนประมาณ 8.3 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563  กระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 5.0 หมื่นล้านบาทต่อปี  และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านตลาดทุนและตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน 

        สภาพคล่องของ SCC ในช่วงสองปีข้างหน้ายังต้องพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากภายนอก เนื่องจากแผนค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูง อย่างไรก็ตาม SCC ได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากสถาบันการเงินสำหรับโครงการลงทุนหลักแล้ว โดย SCC มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวจากสถาบันการเงิน ที่คงเหลือใช้ได้ ณ  สิ้นเดือนธันวาคม 2562 จำนวน 1.1 แสนล้านบาท  ในจำนวนนี้เป็นวงเงินกู้สำหรับโครงการ LSP จำนวน 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  (ประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท)   

ติดต่อ

Primary Analyst

ณิชยา สีมานนทปริญญา

Associate Director

+662 108 0161

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน

กรุงเทพฯ 10330

Secondary Analyst

สมฤดี ไชยวรรัตน์

Director

+662 108 0160

Committee Chairperson

Hasira De Silva, CFA

Senior Director

+65 6796 7240

ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

FBS728

EXNESS

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!