หมวดหมู่: บทวิเคราะห์

บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวันAsia Plus Group Holding


กลยุทธ์การลงทุน

แม้จะมีกระแสบวกจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวขึ้น แต่ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่มีปัจจัยลบปกคลุมหนาแน่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้คาดว่า SET Index ยังมีโอกาสที่จะปรับฐานลงไปได้อยู่ วันนี้แนะนำปรับพอร์ต โดยขายทำกำไร CENTEL ซึ่งน่าจะมีกำไรราว 20% ในช่วงไม่ถึง 1 สัปดาห์ และนำเงินเข้าลงทุนใน LH และ INTUCH อย่างละครึ่ง ส่วนหุ้น Top Picks เลือก LH (FV@B 11.10) และ INTUCH (FV@B 82.50)

ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย …จับสัญญาณวันนี้

วานนี้ ตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวลงตลอดวัน จากประเด็นจํานวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด บวกกับความไม่แน่นอนของราคานํ้ามันดิบที่ยังอยู่ในภาวะผันผวนสูง จึงทำให้ตลาดปิดตัวในแดนลบที่ระดับ 1,205.77 จุด ลดลง 9.18 จุด หรือ -0.76% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 9.28 หมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่กดดันตลาดหลักๆ คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT(-5.88%) PTTEP(-4.61%) GPSC(-0.38%) TOP(-6.41%) กลุ่มสื่อสารเช่น ADVANC(-3.85%) INTUCH(-2.12%) DTAC(-3.18%) และกลุ่มปิโตรเคมีอย่าง อาทิ IVL(-3.20%) PTTGC(-5.92%) รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อย่างเช่น AOT(-1.74%) CPN(-3.30%) และ BAM(-8.40%) เป็นต้น

ผลกระทบเชิงลบอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ถูกนำเสนออกมามากขึ้น โดยล่าสุด WTO (องค์กรการค้าโลก) ออกมาปรับลดประมาณการประมาณการค้าโลก โดยคาดว่าในกรณีที่ดีที่สุดปี 2563 น่าจะหดตัว 12.9% และทำให้ World GDP -2% และหากเป็นกรณีเลวร้าย จะทำให้ปริมาณการค้าโลก หดตัวมากถึง 32% กดดดัน World GDP -8.8% ซึ่งหากเป็นไปตามที่ WTO คาด ปัญหาใหญ่ที่จะตามมาในช่วงถัดไปถือปัญหาการว่างงานที่น่าจะปรับขึ้นในอยู่ในระดับสูง โดยในส่วนของประเทศไทย ณ ปัจจุบันมีความเห็นตรงไปทางเดียวกันว่า GDP Growth ปี 2563 น่าจะเป็นตัวเลขที่ติดลบ ตั้งแต่ -1.4% ไปจนถึง -6%

ขณะที่ กกร. คาดหมายว่าจำนวนผู้ว่างงานจะเพิ่มขึ้นราว 7.1 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างางานสูงกว่า 18% โดยที่จะเห็นผลกระทบกระจายตัวในหลายอุตสาหกรรม แต่อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่เป็นบวกเข้ามาเสริมบางส่วน ได้แก่เรื่อง มาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่มีมูลค่าราว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าไม่น้อยกว่า ครึ่งหนึ่ง จะถูกส่งลงไปที่การเยียวยาภาคแรงงาน และครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 หากทำได้มีประสิทธิภาพ กล่าวคือ อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้เร็ว และ ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้เต็มที่ ก็จะทำให้อัตรการหดดันของเศรษฐกิจไทย เบาบางลง สำหรับ SET Index แม้จะปรับตัวขึ้นมาได้ และลดความผันผวนลงได้ระดับหนึ่ง แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เป็นลบ ทำให้เชื่อว่ายังจะมีโอกาสที่เห็นการปรับฐานลงมาได้ในช่วงระยะเวลาจากนี้ไป กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้ จึงควรที่จะต้องจัดสัดส่วนของพอร์ตให้สมดุล กล่าวคือมีมีองค์ประกอบหลักของพอร์ตเป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานแกร่ง และมีการจ่ายเงินปันผลที่เพียงพอและต่อเนื่อง อีกส่วนหนึ่งเป็นหุ้นที่คาดว่าจะได้รับกระแสเชิงบวกหนุนราคา ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งในส่วนนี้อาจมีการ Trading ตามความเหมาะสม วันนี้แนะนำให้ปรับพอร์ต โดยการขายทำกำไรหุ้น CENTEL ซึ่งน่าจะมีกำไรราว 20% ในช่วงไม่ถึง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา และนำเงินที่ได้เข้าเพิ่มน้ำหนักในหุ้น LH และ INTUCH อย่างละครึ่ง หุ้น Top Picks วันนี้เลือก LH และ INTUCH

WTO คาดปริมาณการค้าโลก -12.9% และกรณีเลวร้าย -32% กดดัน World GDP ติดลบแรง

ผลกระทบจาก COVID-19 ต่อเศรษฐกิจโลกปี 2563 ทำให้ ล่าสุด องค์กรการค้าโลก(World Trade Organization, WTO) ปรับลดประมาณการปริมาณการค้าโลก(World trade volume) ปี 2563 ลง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีฐาน (Base case) คาด trade volume จะ -12.9%yoy และส่งผลให้ GDP Growth โลก -2.5%yoy ขณะที่กรณี Worse case คาด trade volume จะ -31.9%yoy และ GDP Growth จะโลกหดตัวแรง 8.8%yoy ซึ่งถือเป็นการติดลบมากกว่าในช่วง Supprime (ดังรูป) โดย WTO ประเมินว่ากรณี Worse case มีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 24% สอดคล้องกับมุมมองหลายฝ่ายปี 2563 เศรษฐกิจโลกจะหดตัวแรง

การระบาดของไวรัส COVID-19 ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมเพิ่มขึ้นอีก 82,323 ราย ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1,513,304 ราย จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังมาจากฝั่งสหรัฐ ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 29,936 ราย เป็น 430,271 ขณะที่ประเทศอื่นๆแม้ยังเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มในจำนวนน้อยลง เช่น สเปนมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 6,278 ราย รวมเป็น 148,220 ราย, อิตาลีมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,836 ราย รวมเป็น 139,422 ราย, เยอรมนีมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5,633 ราย รวมเป็น 113,296 ราย, ฝรั่งเศสผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3,881 ราย รวมเป็น 112,950 ราย ขณะที่ในส่วนของไทย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 111 ราย ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีผู้ติดเชื้อ COVID-19 รวม 2,369 ราย

ปัญหาการว่างงานไทยจะรุนแรงขึ้น แต่ก็จะได้รับการเยียวยาจากมาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล

วานนี้ กกร.(สภาหอการค้าไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคาร ประเมินผลกระทบ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะรุนแรงกว่าวิกฤตแต่ละครั้งในอดีต โดยคาดภายในเดือน มิ.ย.นี้ จะมีแรงงานตกงาน 7.13 ล้านคน จากแรงงานในระบบประกันสังคม 38 ล้านคนราว 18.5% ของแรงงานทั้งหมด หลักๆ คือ (แรงงานกลุ่ม ศูนย์การค้าและค้าปลีกราว 59%, ก่อสร้าง 14% โรงแรม 13.7% และอื่นๆ) ถือว่าสอดคล้องกับมุมมอง ASPS ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 จะหดตัว 1.4% และจะเข้าสู่ภาวะถดถอย สอดคล้องกับ Consensus ที่คาดจะหดตัว 5-6% แต่เศรษฐกิจที่หดตัวแรงในครั้งนี้ ดังที่นำเสนอว่ารัฐบาลก็มีมาตรการทั้งการเงินและการคลังเพื่อพยุงเศรษฐกิจที่มากกว่าทุกๆครั้งที่เกิดวิกฤต  

มาตการการคลัง ล่าสุดอนุมัติมาตรการเยียวยาผลกระทบจาก COVID-19 วงเงินรวมราว 1.9 ล้านล้านบาท หรือราว 10%ของ GDP คือ กระทรวงการคลัง ออก พ.ร.ก. กู้เงิน วงเงิน 1 ล้านล้านบาทเพื่ออัดฉีดเงิน วงเงิน 6 แสนล้านบาท หลักๆมุ่งไปที่ดูแลสาธารณสุข, เยียวยาประชาชน อาทิ มาตรการแจกเงิน 5 พันบาท/คน รวม 9 ล้านคน โดยขยายระยะเวลา 6 เดือน จากเดิม 3 เดือน และมาตรการเยียวยาเกษตรกรและ วงเงิน 4 แสนล้านบาท ครอบคลุมโครงการดูแลเศรษฐกิจในพื้นที่ชุมชน โดยเม็ดเงินรวมเข้าระบบ ASPS คาดว่าจะมีส่วนทำให้ GDP Growth ไทยปี 2563 ติดลบน้อยลง และถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในระสั้น

รอการประชุม OPEC+ คืนนี้ จะมีการตัดลดการผลิต 10 ล้านบาร์เรล/วัน  

วันนี้ให้น้ำหนักมติการประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมัน   OPEC+ รวมรัสเซีย เวลา 3 ทุ่มในไทย ซึ่งเป็นการประชุมผ่าน Viedeo Conference ให้น้ำหนักไปข้อสรุปที่ประชุมจะมีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อให้สอดคล้องกับ Demand น้ำมันโลก ซึ่งปัจจุบัน ลดลงจากไวรัส   COVID-19 ยังแพร่ระบาดทั่วโลก ทำให้ราว 30 ประเทศทั่วโลกมีการประกาศ Lock Down ประเทศ ซึ่งกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยตลาดคาดในรอบนี้จะมีการปรับลดการผลิตอยู่ที่ราว 10 ล้านบาร์เรล/วัน รวมถึงให้น้ำหนักว่าสหรัฐ จะยอมปรับลดการผลิตด้วยหรือไม่ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงถือว่ามากกว่าข้อเสนอการตัดลดการผลิต (OPEC+ รวมรัสเซีย) รอบล่าสุด 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ล้มเหลว     ปัจจุบันสหรัฐผลิตน้ำมันราว 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน, ซาอุดิอาระเบีย เดือน เม.ย. ผลิต 12 ล้านบาร์เรล/วัน, รัสเซียผลิต 11.2 ล้านบารณเรล/วัน

ASPS ประเมินการประชุมครั้งนี้จะมี 2 ทาง คือ

1.) ที่ประชุมกลุ่ม OPEC+ ตกลงลดกำลังการผลิต แต่รอดูว่าจะตัดลดกำลังการผลิตเท่าไหร่ ประเมิน หากมีการตัดลดการผลิต 0-10 ล้านบาร์เรล ASPS คาดมีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นในช่วงสั้นและอาจจะถูก Take profit เทขาย เนื่องจากเกินการ Sell on Fact ตัดลดการผลิตมากกว่า 10 ล้านบาร์เรล คาดมีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นต่อแต่คาดจะไม่ได้ปรับขึ้นแรง

2.) ที่ประชุมไม่สามารถตกลงการปรับลดกำลังการผลิตกันได้   คาดจะกดดันต่อราคาน้ำมันดิบปรับฐานลง ถือเป็น Sentimentg เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน

คำแนะนำลงทุนในช่วงสั้น   ตลาดรอการเจรจาของกลุ่ม OPEC+ อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบผันผวน และ ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้ปรับเพิ่มขึ้นมาได้ตอบรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้นก่อนหน้านี้ไปแล้ว   จึงแนะนำทยอยเข้าลงทุนเมื่อราคาหุ้น PTTEP (FV@B110) และ PTT (FV@B42) อ่อนตัวจะปลอดภัยกว่า   โดยคาดปัจจัยยามเศรษฐกิจไม่ดี กอดหุ้นปันผลไว้น่าจะอุ่นใจสุด แนะ LH และ INTUCH

ในช่วงที่ผ่านมา ความคาดหวังมาตรการต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแบบจัดเต็ม พร้อมกับป้องกันการแพร่การะจายไวรัส COVID-19 ที่เข้มข้นขึ้น หนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของปีกว่า 25%

อย่างไรก็ตามภาพรวมตลาด เริ่มเห็นผลกระทบจากประเด็น COVID-19 ชัดขึ้นจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ที่กล่าวมาในหัวข้อก่อนหน้า ดังนั้นหนึ่งในทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจ คือ หุ้นปันผลสูง ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้

  1. ในช่วงที่ผ่านมา หุ้นปันผลฟื้นตัวได้ร้อนแรงกว่าตลาด สะท้อนได้จากดัชนี SETHD เพิ่มขึ้น 8.47%mtd มากกว่า SET Index ที่เพิ่มขึ้น 7.1%mtd เปรียบเทียบผลตอบแทนตั้งแต่ต้นเดือน(mtd) ของ SET Index กับ SETHD Index

ที่มา : ฝ่ายวิจัย ASPS

  1. ส่วนใหญ่หุ้นปันผลมีรายได้มั่นคง เมื่อเทียบกับหุ้นประเภทอื่นๆ และผันผวนน้อยกว่าตลาดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในยามที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง
  2. หุ้นปันผลมักปรับตัวขึ้นได้ดีก่อนการประกาศจ่ายปันผลเสมอ

แต่ในอีกมุมหนึ่งเดือน เม.ย. เป็นเดือนที่มีหุ้นขนาดใหญ่หลายบริษัทขึ้นเครื่องหมาย XD ภาพรวมคาดกดดันดัชนีให้ลดลงราว 11 จุดตลอดทั้งเดือน เช่น วันนี้มีหุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD 14 บริษัท เป็นหุ้นขนาดใหญ่ เช่น SCC, SCB และ KBANK คาดจะกดดันให้ SET Index ลดลงถึง 3 จุดในวันนี้ ซึ่งรายละเอียดตารางการขึ้นเครื่องหมาย XD สามารถเข้าถึงได้ง่ายผ่าน App ASP Smart รายละเอียดดังรูปด้านล่าง

เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม,

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน, ปัจจัยทางเทคนิค

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132

ภราดร เตียรณปราโมทย์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365

ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636

วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร

นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์

เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506

ภวัต ภัทราพงศ์

ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!