บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) ตั้งงบประมาณสำหรับโครงการลงทุนของบริษัท (รวมโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษา)ระหว่างปี 61-65 มีจำนวน 53,279 ล้านบาท โดยในปี 61 ค่าใช้จ่ายลงทุนสำหรับโครงการลงทุนที่ดำเนินการต่อเนื่องมีจำนวน 1,933 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (โครงการ UHV) โครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (โครงการ PPE/PCC) และโครงการ EVEREST
นอกจากนี้ บริษัทมีงบประมาณสำหรับโครงการลงทุนที่อยู่ระหว่างการศึกษาจำนวน 34,793 ล้านบาท โดยการนำวัตถุดิบ หลักจากกระบวนการผลิตภายในของบริษัท มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของบริษัท
(หน่วย:ล้านบาท)
โครงการลงทุน 2561 2562 2563 2564 2565 รวม
โครงการ UHV และโครงการ PPE/PPC 1,445 - - - - 1,445
โครงการ EVEREST 488 - - - - 488
ค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงโรงงาน 2,470 2,354 2,425 4,947 2,703 14,899
อื่นๆ 1,466 116 73 - - 1,655
รวม 5,869 2,470 2,498 4,947 2,703 18,487
โครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษา 1,301 4,291 9,747 9,736 9,718 34,793
รวมทั้งหมด 7,169 6,761 12,245 14,683 12,421 53,279
สำหรับ สถานการณ์ปิโตรเลียมในปี 61 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะปรับเพิ่มขึ้นจากปี 60 และเคลื่อนไหวในกรอบ 60-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มขยายตัวที่ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน มาที่ ระดับ 98.9 ล้านบาร์เรล/วัน จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งทั่วโลก และความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตกลุ่มประเทศผู้ส่งออก
น้ำมัน (โอเปก) และนอกกลุ่มโอเปก ที่ขยายระยะเวลาการปรับลดกำลังการผลิตร่วมกันประมาณ 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมสิ้นสุดเดือน มี.ค.61 เป็นสิ้นสุดเดือน ธ.ค.61 ส่วนธุรกิจปิโตรเคมีในปี 61 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับนโยบายการควบคุมเรื่องสิ่งแวดล้อมของจีน ทำให้มีการลดการใช้ Scarp & Waste plastic รวมทั้งโครงการ One Belt,One Road ของจีน ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้เม็ดพลาสติกให้ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดีธุรกิจกลุ่มโพลีเอทิลีน ยังคงได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์กำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา
สำหรับ ผลการดำเนินงานในปี 60 บริษัทมีกำไรสุทธิ 11,354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากกำไรสุทธิ 9,721 ล้าน บาทในปี 59 โดยมีรายได้จากการขายสุทธิ 197,594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ
โดยโรงกลั่นมีอัตราการกลั่นทั้งปีอยู่ที่ 1.8 แสนบาร์เรล/วัน คิดเป็นอัตราการใช้กำลังการกลั่น 84% ลดลงจากปีก่อนเพียง 1% เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามแผน ในช่วงไตรมาส 1/60 นอกจากนี้โครงการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP)ประเภท PPE และ PPC รวม 3 แสนตัน/ปี เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือน ก.ย.-ธ.ค.60
บริษัทมีกำไรขั้นต้นจาการผลิตของกลุ่มตามราคาตลาด (Market GIM) ซึ่งไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน จำนวน 32,370 ล้านบาท หรือ 14.48 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 4% จากปี 59 เนื่องจากประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของโครงการ UHV และโครงการ PP ที่เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์
ขณะที่บริษัทมีกำไรจากสต็อกน้ำมันจำนวน 3,720 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าจะมีผลขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน (Oil Hedging) 1,452 ล้านบาท ทำให้มีกำไรขั้นต้นทางบัญชี (Accounting GIM)ซึ่งรวมผลกระทบจากสต็อกด้วยนั้น มีจำนวน 34,638 ล้านบาท หรือ 15.49 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 60 ที่ระดับ 20,420 ล้านบาท เพิ่มขั้น 17% จากปี 59
IRPC เตรียมงบลงทุนปี 61-65 จำนวน 5.32 หมื่นลบ. ปีนี้ใช้ 1.93 พันลบ. ลุย 3 โครงการหลัก มองราคาน้ำมัน - ปิโตรเคมีเป็นขาขึ้นตามศก.
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดแผนการลงทุนปี 2561-2565 มีจำนวน 5.32 หมื่นลบ. ชี้ปีนี้ใช้ 1.93 พันลบ. ลุย 3 โครงการ กันงบอีก 3.47 หมื่นลบ. สำหรับโครงการที่กำลังศึกษา พร้อมมองแนวโน้มราคาน้ำมันปีนี้ว่า จะปรับเพิ่มขึ้นในกรอบ 60-65 เหรียญ หลังความต้องการใช้น้ำมันโตตามศก. ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี แม้ได้ศก.โลกสดใสช่วยหนุน แต่ยังมีความผันผวนจากค่าเงินคู่ค้ากดดัน
แผนการลงทุนปี 2561-2565 มีจำนวน 53,279 ลบ. โดยปี 2561 ใช้จ่าย 1,933 ล้านบาท ทั้งในโครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด - ขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน และโครงการ Everest มีงบสำหรับโครงการลงทุนอยู่ระหว่างศึกษา 34,793 ลบ. โดยนำวัตถุดิบหลักจากกระบวนการผลิตในบริษัท มาสร้างมูลค่าเพิ่ม
แนวโน้มปี 2561 ประเมิน ราคาน้ำมันดิบดูไบจะเพิ่มขึ้น จากปี 2560 และเคลื่อนไหวในกรอบ 60-65 ดอลลาร์/บาร์เรล รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ขยายตัว 1.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 98.9 ล้านบาร์เรล/วัน ตามเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่ง และกลุ่มโอเปกที่ขยายเวลาลดกำลังการผลิต ไปถึงสิ้นปี 2561
แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีปีนี้ คาดว่าจะดีขึ้น ตามเศรษฐกิจโลก ที่ IMF คาดว่าจะขยายตัว 3.7% ประกอบกับนโยบายควบคุมเรื่องสิ่งแวดล้อมของประเทศจีน ทำให้ลดการใช้ Scrap & Waste plastic รวมทั้งโครงการ One Belt, One Road ของประเทศจีน ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้เม็ดพลาสติกให้ปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจกลุ่มโพลีเอทิลีนยังคงได้รับแรงกดดัน จากการคาดการณ์กำลังการผผลิตที่เพิ่มขึ้น ในสหรัฐฯ อุตสาหกรรมปิโตรเคมียังมีข้อจำกัดอื่นที่สำคัญ ได้แก่ ความผันผวนของราคาน้ำมัน การอ่อนค่าของสกุลเงินหลักๆ ของประเทศคู่ค้า เป็นข้อจำกัดต่อการส่งออก และการฟื้นตัวของราคาสินค้าในตลาดโลก
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย