หมวดหมู่: บทวิเคราะห์
DBS
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 

“ลุ้นรีบาวด์ แต่ยังไม่แข็งแรง”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
  ภาวะตลาดและปัจจัย : ตลาดวานนี้ – SET Index ปรับลงลึกอีก 40.14 จุด ปิดที่ 1639.54 จุด สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่าซื้อขายที่ 84.6 พันล้านบาท มีปัจจัยลบใหม่เกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เพิ่มอีกคือ สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกที่อัตรา 10% ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ หากจีนยังจะตอบโต้เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ และราคาน้ำมันที่ผันผวนสูง หลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุม 22 มิ.ย.61 กระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ดอลลาร์แข็งค่า บาทอ่อนค่ามาก เงินไหลออก มีแรงขายกระจายไปในกลุ่มหลัก ด้านผู้ขายสุทธิคือบัญชีหลักทรัพย์ 4.8 พันลบ. ต่างประเทศ 2.6 พันลบ. และสถาบัน 1.6 พันลบ. ด้านผู้ซื้อสุทธิคือ รายย่อย 9.0 พันลบ.
  แนวโน้มและกลยุทธ์– SET ควรจะมีการรีบาวด์ได้บ้างหลังลงลึก 87 จุดหรือ 5.1% ตั้งแต่ต้น มิ.ย.(MTD) แต่ปัจจัยลบใหม่เกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนเพิ่มอีกคือ สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีกที่อัตรา 10% ในวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ หากจีนยังจะตอบโต้เก็บภาษีนำเข้าสหรัฐ ยังคอยกดดัน และทั่วโลกรอดูการโต้กลับของจีนอีกครั้ง ขณะที่สิ่งหนึ่งที่มีคือ ถือครองพันธบัตรสหรัฐเป็นจำนวนมาก และราคาน้ำมันที่ยังผันผวนหนัก หลังกลับมามีคาดการณ์ว่าโอเป็กจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการะประชุม 22 มิ.ย.61 นี้ กระทบหุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี ซ้ำเติมกับผลการประชุมเฟดปีนี้จะปรับขึ้นทั้งหมด 4 ครั้ง นับว่าปัจจัยต่างประเทศเป็นลบนำปัจจัยในประเทศ ในเรื่องกังวลเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ดอลลาร์แข็งค่า เงินไหลออกจาก SET และสงครามการค้า ส่วนปัจจัยบวกยังเป็นการเลือกตั้งไทยยังเป็นไปตามโรดแม็ป กลุ่มธนาคารเรื่องดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น เศรษฐกิจไทยยังดี แต่เริ่มกังวลไทยจะได้รับผลกระทบสงครามการค้า เพราะเราเหมือนเป็นห่วงโซ่ผู้รับจ้างผลิตและส่งออก จึงอาจได้รับผลลบ สำหรับการประชุมต่างๆ สัปดาห์นี้มีเรื่องที่ต้องติดตามคือ ประชุมโอเปก 22 มิ.ย.61 ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านเช้านี้ส่วนใหญ่แกว่งแคบ รอดูสถานการณ์ ส่วนดาวโจนส์ล่วงหน้า -36 จุด กลยุทธ์ในสัปดาห์นี้ ยังคงเน้นลงทุนหุ้นรายตัว (Selective Buy) ที่มีพื้นฐานดี และมีประเด็นที่น่าสนใจในระยะนี้ หุ้นส่งออกได้ประโยชน์จากบาทอ่อน การประกาศ SET 50 SET 100 แล้วก็จะมีผลบวกกับหุ้นนำเข้า แต่เป็นลบหุ้นออก แต่วานนี้หุ้นถูกเอาออก มีแรงขายมาก นักลงทุนระยะสั้นควรเล่นรอบสั้นๆ ไม่หวังกำไรมาก ระยะกลาง-ยาวควรตั้งเป้าผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม และทยอยขายทำกำไรเมื่อได้ตามเป้าหมาย ล็อคกำไร ลดความเสี่ยง ระยะนี้คาดว่า SET จะซื้อขายอยู่ในกรอบเป็น 1690-1730 จุด
  Update หุ้นเด่น AOT : ภาคท่องเที่ยวของไทยยังเติบโตดีต่อเนื่อง แต่เป็นผู้บริหารสนามบินเพียงรายเดียว ระยะสั้นมี Catalyst จากการเปิดประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรีและประกาศผลผู้ชนะประมูลปลายปีนี้ อัตราผลตอบแทนสูงกว่าเดิมมาก, ได้บริหารสนามบินเพิ่ม คือ อุดรธานี สกลนคร ตาก และชุมพร,มีสนามบินแห่งที่สองคือ เชียงรายและภูเก็ต , ขยายสนามบินที่ดำเนินการอยู่ และมีสุวรรณภูมิเฟส 2 รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ดินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ คือ โครงการ แอร์พอร์ต ซิตี้ของสนามบินสุวรรณภูมิจะก่อให้เกิดรายได้ในอนาคตที่มั่นคง แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 75 บาท
  การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้น Candlestick & Indicators เป็นบวกเล็กๆ แต่ความน่าจะเป็นของตลาดฯระยะกลางมีน้ำหนักเป็นการลง ตามโครงสร้าง อาจมีรีบาวด์สั้นๆก่อนจึงปรับลง ซื้อเน้นค่าบวก แนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1650-1660, 1680 โดยมีแนวรับ 1630-1620
  สำหรับการ Scan หุ้นที่มีโอกาสทำ New high ที่เข้ามาใหม่เป็น SCC, RCI, PTT, PTTEP, PTTGC, CPALL ที่ยังคงอยู่ใน List ได้แก่ SYNEX, TGCI หุ้นที่หลุด LIST คือ
CBG, SAT, PRINC, D, BBL, MTC, KTB, INTUCH, GFPT, GLOBAL และที่ให้หาจังหวะTake profit เป็น LPN
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
•/- ติดตามมาตรการการตอบโตสหรัฐฯจากจีน โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐที่ถืออยู่เป็นจำนวนมาก
  # ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ในวานนี้ว่า รัฐบาลจีนพร้อมตอบโต้อย่างรุนแรง หากรัฐบาลสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% จริงตามที่ปธน.ทรัมป์ขู่ไว้ โดยมาตรการตอบโต้ของจีนจะเป็นไปในทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ
  # รัฐบาลของประเทศต่างๆได้หยุดหรือชะลอการซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทั่วโลกประเทศที่ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐที่เห็นได้ชัดที่สุดคือรัสเซีย ซึ่งได้ลดปริมาณที่ถืออยู่ในมือลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วงจาก มี.ค. ถึง เม.ย. และจีนได้ลดปรับลดตัวเลขพันธบัตรสหรัฐที่ถืออยู่ในมือลง 5,800 ล้านดอลลาร์ในเดือน เม.ย. มาเหลือ 1.18 ล้านล้านดอลลาร์ หากในที่สุดจีนตัดสินใจลดการถือครองลงในจำนวนมาก ก็จะทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่ามาก
#สหรัฐจำเป็นต้องหาประเทศต่างๆมาช่วยซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากปริมาณพันธบัตรใหม่ที่รัฐบาลนี้พิมพ์ขายออกมาจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมหาศาลในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
- ทรัมป์ ขู่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์
  # ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า ตนได้ขอให้ผู้แทนการค้าสหรัฐตรวจสอบรายการสินค้าจีนที่ควรถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยปธน.สหรัฐได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่ในอัตรา 10% วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐได้มีการประกาศรายชื่อสินค้าจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% วงเงินรวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่ หากรัฐบาลจีนยังคงยืนกรานที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐตามที่เคยประกาศไว้ไม่นานมานี้
-/+ ราคาน้ำมันปรับลง แต่เช้านี้กระเตื้อง
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 78 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 65.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 26 เซนต์ หรือเกือบ 0.4% ปิดที่ 75.08 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (19 มิ.ย.) เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะเสนอให้มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มในวันที่ 22 มิ.ย.
  # อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันเช้านี้กลับมาปรับเพิ่มขึ้นได้
- ภาวะตลาดหุ้น : ดาวโจนส์ปรับลงต่อ กังวลสงครามการค้า สหรัฐ-จีน
  # ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,700.21 จุด ร่วงลง 287.26 จุด หรือ -1.15% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,762.59 จุด ลดลง 11.16 จุด หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,725.58 จุด ลดลง 21.44 จุด หรือ -0.28%
  # ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (19 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นอีก โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นโบอิ้ง และแคทเธอร์พิลลาร์
• ทองคำลดลง เก็งกำไรดอลลาร์ที่แข็งค่า
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 1.5 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 1278.60 ดอลลาร์/ออนซ์
  # สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 มิ.ย.) โดยได้รับปัจจัยกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่า อย่างไรก็ตามสัญญาทองคำได้รับแรงซื้อบางส่วนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย อันเนื่องมาจากความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
- ตัวเลขเริ่มต้นการสร้างบ้าน พ.ค. มากกว่าคาด
  # กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนพ.ค. โดยพุ่งขึ้น 5% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.350 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2550 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.310 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค.
  # นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังรายงานว่า การอนุญาตก่อสร้างบ้านในสหรัฐลดลง 4.6% สู่ระดับ 1.301 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2560 แต่ตัวเลขดังกล่าวปรับตัวลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์จะลดลงสู่ระดับ 1.350 ล้านยูนิต
• ตัวเลขเศรษฐกิจจะประกาศสัปดาห์นี้
  # ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาส 1, ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนมิ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมาร์กิต
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่นหลักทรัพย์
+/- พาณิชย์ คาดไทยได้อานิสงส์ส่งออกเพิ่มพันล้านดอลล์ จากสหรัฐฯ-จีนปรับขึ้นภาษีสินค้าระหว่างกัน
  # ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ประเมินสถานการณ์การตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. โดยพบว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการส่งออกสินค้าบางประเภทไปขายทดแทนสินค้าที่สหรัฐฯ และจีนปรับขึ้นภาษีระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 0.42% ของมูลค่าการส่งออกปี 60
  # อย่างไรก็ตาม ผลจากการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ 2 อันดับแรกของโลก ย่อมส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และบั่นทอนบรรยากาศการค้าการลงทุนโลก
+/• บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค (DOD) เริ่มเทรดตลาด MAI วันนี้วันแรก
  # บริษัทดำเนินธุรกิจรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า และตราสินค้าของบริษัท "Daia to" (ได เอโตะ) ราคา IPO 9.30 บาท ในไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้ประมาณ 214 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรประมาณ 111 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2560 ที่มีกำไรประมาณ 30 ล้านบาท หลังบริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตโดยย้ายโรงงานจากพื้นที่ 1 ไร่ ไปเป็นพื้นที่ 17 ไร่ ส่งผลให้สามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 400 % ในช่วงการทำงานกะเวลากลางวัน ประกอบกับในช่วงไตรมาส 1/61 ที่ผ่านมามีลูกค้ารายใหญ่สั่งผลิตสินค้า
  # ราคาพื้นฐานจาก Consensus ที่หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นลงไว้คือ 12.00-14.00 บาท แต่ฝ่ายวิจัยฯ DBS ไม่ได้ทำการวิเคราะห์
+ COM7: คงเป้ารายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 15% เตรียมเปิดให้บริการ BANANA Outlet
  # บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% หลังรายได้ในไตรมาส 1/61 โต 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นไปตามการเติบโตในกลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ สมาร์ทโฟน และกลุ่มสินค้า accessory เป็นต้น ขณะที่มองผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 น่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และในครึ่งปีหลังก็น่าจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ซึ่งบริษัทก็จะเน้นการขายสินค้าใหม่ประเภท accessory มากขึ้น
  # ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท อาร์ทีบี เทคโนโลยี จำกัด ผู้นำเทรนด์หูฟังคุณภาพสูง บริษัทจะเน้นช่องทางการจำหน่ายใหม่ โดยเตรียมเปิดตัว BANANA Outlet ภายในศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ บนพื้นที่ 300 ตารางเมตร ในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งเอ้าท์เล็ทดังกล่าวจะจำหน่ายสินค้า IT ที่ตกรุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการให้กับกลุ่มลูกค้าที่สนใจสินค้า IT ที่ตกรุ่นไปแล้ว และยังมีราคาที่ต่ำ หรือมีส่วนลดราว 20-90%
  # คำแนะนำ ถือ แม้สภาวะตลาดหลักทรัพย์ไม่ค่อยดีนัก แต่ราคาหุ้นยังทรงตัวได้ที่ 17.80 บาท เทียบกับราคาพื้นฐานที่ 18.90 บาท มีส่วนเพิ่มได้อีกเพียง 6%
-/• DTAC: กสทช.เผยคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบประมูลคลื่น 900 MHz เตรียมเสนอบอร์ด
  # (กสทช.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านโทรคมนาคม เห็นชอบร่างประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการประมูลคลื่น 900 เมกะเฮิร์ตซ์ (MHz)แล้ว โดยจะเสนอที่ประชุมบอร์ดกสทช.และจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาภายในวันที่ 27 ก.ค. ทั้งนี้ผู้ชนะการประมูลต้องจัดทำระบบป้องกันการรบกวนคลื่นความถี่จากการเดินรถไฟฟ้า เมื่อดำเนินการแล้วให้หักจากเงินที่ต้องชำระค่าประมูล
  # สำหรับกรณีคลื่นความถี่ 1800 เมกะเฮิรตซ์ ให้ขยายเวลาในการยื่นแสดงความจำนงในการประมูลออกไป โดยกำหนดกรอบระยะเวลา คือวันที่ 26 มิ.ย. -25 ก.ค. ประกาศเชิญชวนและรับคำขอผู้สนใจเข้าร่วมการประมูล ,วันที่ 26 ก.ค.ยื่นคำขอเพื่อเข้าร่วมการประมูล ,วันที่ 26-30 ก.ค. พิจารณาคุณสมบัติผู้เข้าประมูล วันที่ 1 ส.ค. ประกาศรายชื่อผู้ผ่านคุณสมบัติวันที่ 2-3 ส.ค. ชี้แจงกระบวนการประมูล วันที่ 4 ส.ค. เคาะราคาประมูล ทั้งนี้หากมีผู้ผ่าน 1 ราย และต้องขยายเวลาออกไป 1 เดือน ให้จัดการประมูลให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 11 ก.ย. (Aspen)
  # ผลกระทบ: แต่เดิมคาดกันว่าคลื่น 900 MHz จะมีการเยียวยา แต่ทางการเหลือจากการจัดสรรไปใช้กับรถไฟฟ้าความเร็วสูง จึงกลับมาเปิดให้ประมูล สำหรับราคาเริ่มต้นที่ประมูล คาดกันว่าจะเท่ากับ 1800 MHz ที่ 37.5 พันล้านบาท ฝ่ายวิจัยฯ เห็นว่าเมื่อกลายเป็นเช่นนี้ ทาง DTAC จะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกประมูล 900 หรือ 1800 MHz เพื่อทำให้เกิดประโยชน์กับบริษัทมากกว่า คำแนะนำขณะนี้ ADVANC มีความปลอดภัยมากกว่า DTAC ซึ่งยังมีความเสี่ยงในเรื่องที่ว่าในที่สุดจะมีการเยียวยา 1800 MHz หรือไม่ และในอนาคต กสทช.จะซอยใบอนุญาตให้เล็กลงได้หรือไม่ โดยที่ทางการยังได้รับราคาเฉลี่ยเท่าเดิม
+/- ตลาดฯประกาศ SET50,SET 100 คาดมีการเก็งกำไรสำหรับหุ้น Inclusion หรือขายออกสำหรับหุ้น Exclution
  # ประกาศวันที่ 18 มิ.ย.61 มีผลใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค.61-31 ธ.ค.61
  # สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 6 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, DELTA, GLOW, KTC, RATCH, TOA
  # สำหรับ SET 50 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 6 หลักทรัพย์ คือ BCP, KCE, PSH, SAWAD, TPIPP, WHA
  # สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นเข้ามาใหม่ (Inclustion) 11 หลักทรัพย์ คือ BGRIM, BLA, DELTA, ERW, GLOW, PRM, RATCH, RS, THANI, TOA, TTW
  # สำหรับ SET 100 สำหรับหุ้นถูกถอดออก (Exclusion) 11 หลักทรัพย์ คือ ANAN, BA, BEC, BIG, JMART, JWD, MC, MONO, THCOM, TTA, UNIQ
  # การคัดเลือกหุ้นที่นำมาคำนวณใน SET50 & SET100 พิจารณาจากมูลค่าการตลาด (Market Cap) และปริมาณ & สภาพคล่องในการซื้อขายเป็นหลัก ไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานหรืองบการเงินของบริษัทโดยตรง อย่างไรก็ตาม หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้ามาคำนวณใน SET50 หรือ SET100 ก็จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออกก็อาจจะถูกลดการลงทุนลง
+/- บาทอ่อนส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสินค้าและวัตถุดิบ
  # หลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออก ที่ได้รับผล sentiment ด้านบวก เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, HANA, DELTA, SVI กลุ่มเกษตร-อาหาร ได้แก่ CPF, TU, GFPT, TIPCO, MALEE และหลักทรัพย์ท่องเที่ยวได้ประโยชน์ คือแลกเหรียญเป็นบาทได้มากขึ้นเป็น sentiment บวกกับ ERW, CENTEL และ MINT ด้านหลักทรัพย์เสียประโยชน์คือนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ได้แก่ TVO, TSTH, IRPC, BCP, SAT, STANLY, AH, COM7, SYNEX และ SIS รวมทั้งหลักทรัพย์ที่มีหนี้เงินกู้ต่างประเทศจะมีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ได้แก่ AAV, THAI และ RCL เป็นต้น
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.
OO10283

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!