หมวดหมู่: บทวิเคราะห์

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 10-7-2020May


กลยุทธ์การลงทุนรายวัน

วานนี้ SET แกว่งในกรอบแคบ ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจ US หลังจากตัวเลข COVID-19 ยังคงเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง โดย ณ. สิ้นวัน SET ปิดที่ 1,365.81 (+3.35 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.3 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 6.6 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติ ซื้อหุ้นไทย 1,241 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 1,710 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 6,009 สัญญา)

SCC (ปรับราคาเป้าหมายขึ้นสู่ 400 บาท) คาดกำไร 2Q63 จะเติบโตสู่ 9,250 ล้านบาท (+33%QoQ, +31%YoY) แรงหนุนธุรกิจเคมิคอลส์ ที่สเปรดและปริมาณขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ แพคเกจจิ้ง มีความยืดหยุ่นดี

เกาะติดสถานการณ์ COVID-19 สหรัฐฯอย่างใกล้ชิด: วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ที่ระดับ 1.31 ล้านราย ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ 1.37 ล้านราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวลง 14 สัปดาห์ติดต่อกัน สะท้อนภาคแรงงานสหรัฐฯค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีคงต้องจับตาอย่างต่อเนื่องว่าภาวะการระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ ที่ยังพยายามทำจุดสูงสุดใหม่ จะส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ จะต้องกลับมาหยุดหรือไม่ ซึ่งหากทุกอย่างยังดำเนินต่อไป ก็คาดว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจจะยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่งผลบวกต่อโอกาสการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ส่วนด้านปัจจัยในประเทศ ในระยะสั้นตลาดอาจกลับมาจับตาสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด หลังจากที่รัฐบาลมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการพรรค ซึ่งอาจเป็นจุดที่สะท้อนถึงโอกาสในการปรับโครงสร้าง ครม. ในช่วงถัดไป ดังนั้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองดังกล่าวอาจส่งผลให้ภาวะการลงทุนระยะสั้นอาจแกว่งผันผวน เพื่อรอความชัดเจนทั้งหมดในช่วงถัดไป

Investment Strategy :

วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,350 ต้าน 1,380 จุด เน้นหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไรโดดเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “SCC, CPF, DELTA”

กลยุทธ์การลงทุน

มีหุ้น : ยังสามารถถือได้ รอสะสมเพิ่มที่บริเวณแนวรับ 1360 / 1340 จุด ตามลำดับ

ไม่มีหุ้น : รอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว หาจังหวะการเข้าเก็งกำไรช่วงบริเวณ 1360/1340 จุด และรอขายเมื่อดัชนีดีดกลับ

DRT ชี้ตลาดวัสดุก่อสร้าง ไตรมาส 4 กลับมาฟื้นตัว เดินเครื่องผลิต 80-90% ((ข่าวหุ้น)

ความเห็น : ปี 2563 ซึ่งเป็นปีได้รับผลกระทบด้านลบจาก Covid-19 ระบาด กระทบต่อเศรษฐกิจรวม เราประเมินยอดขายเท่ากับ 4,292 ล้านบาท ลดลง 10% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 463 ล้านบาท ลดลง 19% แต่คาดจะฟื้นตัวดีขึ้นในปีหน้า หุ้นอัตราเงินปันผลตอบแทนดี 6.7% แม้ว่ากำไรจะลดลง คงแนะนำ ซื้อลงทุน แต่รอจังหวะช่วงอ่อนตัวหลังหุ้นขึ้นมาแรง เป้าหมาย 6.20 บาท

ZEN ยอดขายพลิกบวก รายได้ออนไลน์ดีด 20% (ทันหุ้น)

ความเห็น : เรามีมุมมองเป็นกลางกับข่าวดังกล่าว โดยบริษัทมี SSSG ใน เดือนเม.ย.-พ.ค. -80%YoY และกลับมาสู่จุด Breakeven ในเดือน มิ.ย. แต่แนวโน้มการฟื้นตัวเราคาดจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้วยรายได้หลัก Zen ยังเป็นร้านอาหารแบบ Dine-in ที่ต้องมี Social distancing และครัวเย็นอย่างร้านอาหารญี่ปุ่น Zen ที่ได้รับผลกระทบหนักกว่าเพื่อน

KrungThai Card (KTC TB)

คาดคุณภาพสินทรัพย์ต่ำสุดใน 2Q20

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 37 บาท

แม้คาดว่าผลการดำเนินงานจะสะดุดในระยะสั้นจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่อ่อนแอและคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลง แต่ KTC น่าจะสามารถยืนหยัดได้เนื่องจากงบดุลที่แข็งแกร่ง มีภาระหนี้ต่ำและสำรองหนี้สูญที่สูง คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมาย 37 บาท (P/BV ปี 2563 ที่ 4.2 เท่า และ P / E 17.3 เท่า) ความเสี่ยงที่สำคัญคือการเสื่อมคุณภาพสินทรัพย์และมาตรการบรรเทาหนี้เพิ่มเติมจากหน่วยงานกำกับดูแล ทั้งนี้ KTC จะประกาศผลประกอบการไตรมาส 2Q20 ในวันที่ 17 กค. นี้

คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 2Q20 อ่อนแอ

คาด KTC จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 2Q20 ที่ 1.16 พันล้านบาท ลดลง 12% YoY และ 29% QoQ เนื่องจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตชะลอตัวและต้นทุนเครดิตที่สูงขึ้น การใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง 40% YoY ในเดือนเมษายน (เทียบกับ 48% ของทั้งอุตสาหกรรม) และดีดตัวขึ้นเป็น -25% ในเดือนพฤษภาคมและ -8% ในเดือนมิถุนายนจากการที่ธุรกิจต่าง ๆ กลับมาเปิดใหม่ เราคาดว่า non-NII จะลดลง 7% YoY เนื่องจากค่าธรรมเนียมการใช้สินเชื่อและหนี้สูญที่ได้รับคืนลดลง OPEX คาดว่าจะลดลง 4% YoY เนื่องจาก KTC จะชดเชยรายได้ที่อ่อนแอลงจากการลดค่าใช้จ่ายทางการตลาด

คุณภาพสินทรัพย์แย่ลงในระยะสั้น แต่จะดีขึ้นในครึ่งปีหลัง

เราคาดว่าอัตราส่วน NPL จะสูงขึ้นแตะ 7.1% จาก 4.0% ในไตรมาส 1Q20 ส่วนใหญ่เนื่องจากการล็อคดาวน์ในไตรมาส 2Q20 การตั้งสำรองน่าจะเพิ่มขึ้น 41% QoQ เป็น 1.8 พันล้านบาทในไตรมาส 2Q20 ในขณะที่ต้นทุนสินเชื่อน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9.0% ในไตรมาส 2Q20 จาก 6.2% ในไตรมาส 1Q20 แนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดคุณภาพสินทรัพย์จะค่อยๆ ดีขึ้นเนื่องจากเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นเพื่อสะท้อนถึงอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทั้งนี้ KTC ไม่ได้เลื่อนการปรับลดการจัดชั้นสินเชื่อเช่นเดียวกับธนาคารอื่น ดังนั้นข้อมูลคุณภาพสินทรัพย์จะสะท้อนผลกระทบที่แท้จริงจาก Covid-19

ลูกค้ารักษาวงเงินไว้เผื่อต้องการสภาพคล่องในยามจำเป็น

KTC ระบุว่ามีลูกค้า 4,000 รายวงเงินสินเชื่อรวม 300 ล้านบาท (0.4% ของบัญชีสินเชื่อ) ที่ขอระงับวงเงินสินเชื่อเดิมไว้และเปลี่ยนเป็นเงินกู้ระยะยาว ซึ่งโครงการบรรเทาหนี้พบว่ามีจำนวนต่ำ เป็นการยืนยันมุมมองของเราว่าลูกค้าต้องการรักษาวงเงินเครดิตเอาไว้เผื่อในยามที่ต้องการสภาพคล่อง

               

Jesada Techahusdin, CFA

This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

(66) 2658 6300 ext 1395  

Siam Cement (SCC)

2Q63 จะฟื้นตัวดีขึ้น ปีนี้จะลดลงเล็กน้อย

Results Preview

                               

ประเด็นการลงทุน

คาดกำไร 2Q63 จะฟื้นตัวดีขึ้น 9,250 ล้านบาท (+33%QoQ, +31%YoY) แรงหนุนธุรกิจเคมิคอลส์ ที่สเปรดและปริมาณขายเพิ่มขึ้น ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ แพคเกจจิ้ง มีความยืดหยุ่นดี ภายใต้ปัจจุบันลบ Covid-19 ระบาด แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดจะชะลอตัวลงจาก 2Q63 จากสเปรดปิโตรเคมี เริ่มชะลอตัวลดลง และ ใน 4Q63 จะมีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมี MOC 45วัน เราเปลี่ยนไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2564 บนฐาน Forward P/E+0.5SD = 13.9 เท่า ได้เท่ากับ 400 บาท เพิ่มจากเดิม 380 บาท แนะนำ ซื้อ ช่วงอ่อนตัว หลังหุ้นปรับขึ้น 43% จากจุดต่ำสุดเดือน มี.ค.          

คาดกำไร 2Q63 จะฟื้นตัวดีขึ้น 9,250 ล้านบาท (+33%QoQ, +31%YoY)

SCC จะประกาศผลประกอบการ 2Q63 ในวันที่ 29 ก.ค. นี้

เราคาดจะมีกำไรที่ฟื้นตัวดีขึ้น 9,250 ล้านบาท (+33%QoQ, +31%YoY) แรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจเคมิคอลส์ สเปรดที่ดีขึ้น HDPE-Naphtha = $491/ตัน (+$91 QoQ) และ PP-Naphtha = 606/ตัน (+$55 QoQ) และปริมาณขายที่คาดจะสูงขึ้น 475,000 ตัน (+13%QoQ, 0%YoY) เนื่องจากความต้องการที่ยังดี จีนกลับมาสั่งซื้อมากขึ้น และ บวกเพิ่มจากสต็อกที่สะสมไว้ใน 1Q63 เพื่อเตรียมไว้รองรับตอนปิดซ่อมบำรุงแต่เลื่อนไป4Q63 แต่จะถูกฉุดด้วยขาดทุนในสต็อกเล็กน้อยประมาณ 600 ล้านบาท รวมแล้วเราคาดกำไรธุรกิจเคมิคัอลส์ 4,255 ล้านบาท (+139%QoQ, +1%YoY) ด้านเงินปันผลจากค่ายรถยนต์ และ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในรถเทรกเตอร์ คาดจะทรุดลง 20-30%YoY

ธุรกิจปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จะโตจากปีก่อน

ธุรกิจปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง การแพร่ระบาดของ Covid-19 กระทบภาคการก่อสร้างภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย และ พาณิชย์ แต่การก่อสร้างภาครัฐบาลจะเติบโต หลังงบประมาณปี 2563 ผ่าน และ เดือน เม.ย. ปีนี้ไม่ได้หยุดยาว เช่นปีก่อน ทำให้รวมแล้วความต้องการปูนซีเมนต์ 2Q63 จะทรงตัวได้ ในขณะที่ความสามารถทำกำไรยังทำได้ดี จาก SCC ขายสินค้าพร้อมบริการ บวกด้วยโซลูซั่น มีเครือข่ายเอเย่นต์ที่แข็งแกร่ง ในขณะที่โมเดิร์นเทรดอื่นปิดสาขาชั่วคราวช่วง Covid-19 ระบาด คาดกำไรปกติจะโตจากปีก่อนสู่ระดับ 2,287 ล้านบาท (-18%QoQ, +44%YoY)

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง จะเติบโตต่อเนื่อง

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง คาดจะเติบโตได้บ้าง จากความต้องการผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการบริโภคที่เติบโตได้ดีในช่วงที่ Covid-19 ระบาด แม้ว่าผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์สินค้าคงทนจะหดตัว โดยความสามารถทำกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากแหล่งวัตถุดิบเศษกระดาษในประเทศต้นทุนต่ำ มีเครือข่ายรับซื้อเศษกระดาษทั่วอาเซียน ให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร เราคาดกำไรปกติจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อนสู่ระดับ 1,791 ล้านบาท (-15%QoQ, +36%YoY)  

Surachai Pramualcharoenkit

This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.

(66) 2658 6300 ext 1470  

แนวโน้มปี 2563 คาดจะติดลบเล็กน้อย

ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ไปทั่วโลก กระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ และ ห่วงโซ่อุปทาน แต่ผลประกอบการของ SCC มีความยืดหยุ่น รับสถานการณ์ได้ดี ทำให้คาดกำไรปีนี้จะติดลบเพียงเล็กน้อย โดยผลประกอบการครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 2Q63 1.) ธูรกิจปิโตรเคมี ปัจจุบันสเปรด HDPE – Naphtha ลดลงเล็กน้อยเหลือ 482 เหรียญ/ตัน เทียบกับ เฉลี่ยในไตรมาส 2Q63 เท่ากับ 491 เหรียญ/ตัน จากต้นทุน Naphtha ที่ปรับขึ้น แต่ที่ระดับน้ำมันต่ำกว่า 50 เหรียญ/บาร์เรล SCC ซึ่งใช้ Naphtha เป็นวัตถุดิบ ยังมีความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึง SCC ขายสินค้าประเภท HVA 33% ช่วยเพิ่มสเปรดอีก 100-150 เหรียญ/ตัน ทั้งนี้แผนการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC เป็นเวลา 45 วัน ใน 4Q63 ทำให้ SCC ต้องเก็บสต็อกใน 3Q63 ไว้กระจายขายใน 4Q63 ซึ่งจะทำให้กำไรครึ่งปีหลังชะลอตัวลงจาก 2Q63 2.) ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ยังเป็นธุรกิจที่เด่น จากการขยายตัวของ e-Commerce และ สินค้าอุปโภคบริโภค โดยความสามารถทำกำไรยังอยู่ในเกณฑ์ดี จากแหล่งวัตถุดิบเศษกระดาษในประเทศต้นทุนต่ำ มีเครือข่ายรับซื้อเศษกระดาษทั่วอาเซียน ให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ครบวงจร 3.) ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในช่วงที่เหลือของปี คาดจะได้แรงหนุนจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายปี 2563 หลังจากที่ล่าช้ามานาน ช่วยคานภาวะหดตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และ พาณิชย์

โดยในปี 2562 ที่ผ่านมามีการตั้งสำรองจำนวนมาก คือ กฏหมายแรงงานใหม่ 2,035 ล้านบาท กลับรายการสินทรัพย์ภาษีรอตัดบัญชี 1,063 ล้านบาท และ ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ 1,152 ล้านบาท รวม 4,250 ล้านบาท ปี 2563 คาดจะไม่มีการตั้งสำรองอีก เราคาดปี 2563 กำไรของ SCC จะประคองตัว 30,497 ล้านบาท ติดลบจากปีก่อนไม่มากนัก 5% ส่วนปี 2564 คาดจะฟื้นตัวดีขึ้น 34,263 ล้านบาท โต 12%

ความเสี่ยง : ปูนซีเมนต์แข่งขันสูง / ปิโตรเคมีผันผวน / เศรษฐกิจโลกและไทยชะลอตัว / ปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 / ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก

PTT Exploration & Production (PTTEP TB)

แนวโน้ม 2Q20 อ่อนแอ แต่คงคาดการณ์

ตัวเลข 2Q20 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์

คาดกำไรหลัก 2Q20 จะต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 10% จากความต้องการใช้ก๊าซที่ลดลง (5% ต่ำกว่าที่คาดไว้ 349KBOED) และต้นทุนผลิตต่อหน่วยอยู่ที่ 31 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล ทั้งนี้ ความต้องการก๊าซที่ลดลง (PTT ลดปริมาณการผลิต) เป็นผลมาจาก Covid19 ในขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยก็สูงขึ้นจากการ write-off บ่อน้ำมันมูลค่า USD20m ในพม่า (MD07) และปริมาณการผลิตลดลง ด้านราคาขายเฉลี่ย (ASP) ของก๊าซ 6.2 / 6.3 ถือว่าอยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ในขณะที่ไตรมาส 2Q20 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ 33.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าตลาดคาด (30 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล) และแม้จะมีกำไร 100 ล้านเหรียญสหรัฐจากการกลับรายการภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี (PTTEP จะยื่นภาษีเป็นเงินบาทแทน USD ในอนาคต) แต่ก็มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงสัญญาแลกเปลี่ยน 20 ล้านเหรียญสหรัฐ (10 ล้านบาร์เรล)

แนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังลดลงจากราคาก๊าซ - ราคาหุ้นตอบรับแล้ว

เราปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2563 ลง 4% เพื่อสะท้อน 1 ) ปริมาณขายปี 63 ลดลงที่ 355KBOED (2% ต่ำกว่า 362KBOED คำแนะนำก่อนหน้านี้) เนื่องจากผลกระทบของ Covid19 และราคาขายเฉลี่ยของก๊าซลดลงเหลือ 6.0 / mmbtu (จาก 6.1) อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นเร็วของราคาน้ำมันดิบ ช่วยจำกัดการลดลงของราคาขายเฉลี่ยของก๊าซให้สามารถยืนอยู่ที่ระดับสูง USD5.7 / mmbtu ในไตรมาส 3Q20 และจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4Q20 ที่ USD5 / mmbtu (มีสัญญาที่ทำไว้แล้ว) ก๊าซคิดเป็น 70% ของพอร์ตของ ปตท.สผ. โดยทุก ๆ USD0.1mmbtu ที่เพิ่มขึ้น ผลกำไรหลักจะเพิ่มขึ้น 800 ล้านบาท ผู้บริหารได้เปิดเผยว่าเราจะเห็นการประหยัดต้นทุนที่มากขึ้นสำหรับ capex / opex ในปี 63 (คำแนะนำก่อนหน้านี้ 15-20%) ถือเป็นอัพไซด์ต่อผลประกอบการในปีนี้

ภาคอุตสาหกรรม O&G สั่นคลอน โอกาสควบรวมกิจการ

ราคาน้ำมันดิบที่ตกต่ำเนื่องจาก Covid19 ส่งผลให้เกิดการด้อยค่าและจะเร่งให้ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ถอนการลงทุนในเอเชียแปซิฟิก (Exxon - 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ BP – 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ Shell – 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ) Wood Mackenzie ให้ความเห็นว่าบริษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOC) ของจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมุถึง ปตท.สผ. ) ควรใช้จังหวะที่ราคาน้ำมันตกต่ำเป็นโอกาสในการควบรวมกิจการเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของสินทรัพย์ ซึ่ง ปตท.สผ. เปิดรับโครงการ SEA ที่อยู่ระหว่างการผลิต / สำรวจอยู่แล้ว และจากงบดุลที่แข็งแกร่งของบริษัท (อัตราส่วนหนี้สิน/ทุน อยู่ที่ 0.3 เท่า เงินสดในมือ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ) ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อโอกาสการควบรวมกิจการ ซึ่งแม้ว่าบริษัทจะยังไม่มีโครงการใหม่ แต่ถือเป็น upside risk ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนี้คาดว่าผู้บริหารอาจจะประกาศการด้อยค่า (ถ้ามี) ในช่วงประมาณอีก 2 สัปดาห์ ตามแผนของ Shell ซึ่งมีมูลค่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในไตรมาส 2Q20 (สมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบระยะยาวของ PTTEP อยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล)

คงคำแนะนำ ซื้อ มี ESG ที่ชัดเจน - ดีที่สุดในอุตสาหกรรม

คงราคาเป้าหมายที่ 110 บาท (P / E ปี 63 ที่ 16.0 เท่า, + 0.5SD สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี) เรายังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อ PTTEP เนื่องจาก 1) ราคาก๊าซจะต่ำสุดในไตรมาส 4Q20 2) รับผลบวกจากราคาน้ำมันดิบ (ปี 64 ที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) จากอุปทานที่ตึงตัว 3) Upside risk จากโอกาสการควบรวมกิจการ เนื่องจากผลกระทบ Covid-19 ทำให้ผู้เล่นที่มีสถานะทางการเงินแข็งแกร่งมีความได้เปรียบ เราได้เพิ่มรายงาน ESG ใหม่ (หน้า 2) ปตท.สผ. เป็นผู้นำในการส่งเสริมโครงข่าย ESG อยู่ในอันดับต้น ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วน upstream และ integrated (ผู้นำอุตสาหกรรม DJSI 2019) ปตท.สผ. มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ลดการปล่อยก๊าซลง 12% และของเสียอันตรายนำไปฝังกลบอยู่ที่ 0% และเป็นผู้

นำในการสนับสนุนระบบนิเวศทางทะเล

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!